วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

The Amazing Spider-man 2 : Rise of Electro ดราม่า โรแมนซ์ และแอดชั่นอลังการ

The Amazing Spider-man 2 : Rise of Electro ดราม่า โรแมนซ์ และแอดชั่นอลังการ
The Amazing Spider-man2 : Rise of Electro เน้นดราม่าค่อนข้างหนัก(และเยอะเรื่อง)ปนกับหนักรัก 
ฉากสู้อลังการแบบสร้างมาเพื่อ3D 4DX แต่คนที่ไม่ถนัดดู3D อาจอ้วกได้

เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็กนะ 

วันนี้ได้ตั๋วจากกิจกรรมของลูกค้า Sony ค่ะ ดูรอบ 1 ทุ่มที่เซ็นทรัลพระราม 9 (ขอบคุณ Sony นะคะ ปีละเรื่อง น้ำตาจิไหล T_T ) รับบัตรที่ Sony Store เลยค่ะ มีกิจกรรมแจกของด้วย บอกเลยว่าคุ้ม

นี่รูปรวมของทั้งหมดที่ได้ค่ะ (เล่นกัน 2 คนกับแฟนเนอะ ได้เยอะนิดนึง)

มีป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมฟรีให้ด้วย

หนังเริ่มเลทไปประมาณ 20 นาทีค่ะ เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ

เรื่องเล่าถึงสไปเดอร์แมน ฮีโร่ที่คอยช่วยชาวเมืองจากเหล่าร้ายและอันตรายต่างๆ จนวันนึง แม๊กซ์ ชายผู้ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร ได้รับความช่วยชีวิตจากสไปเดอร์แมน ปลื้มจนเป็นแฟนพันธ์แท้(เจมี่ ฟ๊อกซ์
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกเมื่อแม๊กซ์ ต้องโดนไฟฟ้าแรงสูงและปลาไหลดูด จนกลายเป็นมนุษย์ผู้มีพลังงานไฟฟ้าแรงสูง(Electron) แล้วทำไมผู้ที่รักสไปเดอร์แมนคนนี้มาก ถึงกลับกลายเป็นศัตรูไปได้? ตองติดตามในโรงค่ะ 
นอกจาก Electron แล้ว ยังมีตัวร้ายอีก 2 คือ Green Gobin และ Rhino 



สำหรับภาคนี้หนังยาวมากกก อัดแน่นมาด้วยดราม่าและฉากโรแมนติคๆของสไปเดอร์แมนและ เกวน สเตซี่ ที่เคมีเข้ากันสุดๆ แหงหละเพราะนักแสดงคือ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์และ เอมม่า สโตนเป็นคู่รักกันจริงๆนี่นา

ฉากโรแมนซ์ทำออกมาดี แต่ดราม่าดูจะยุ่งเหยิง หลายเรื่องจนเกินไป แต่บทจะไวตอนช่วงคลายปมแต่ละจุด ก็ออกจะเร็วและง่ายไป 

บทเพื่อนรักแฮรี่นี่ก็เดินเรื่องไปแบบรีบมาก เราชอบแฮรี่ฉบับก่อนมากกว่า 
เพราะค่อยเป็นค่อยไปและลึกซึ้งกว่ากัน เห็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นระหว่างทั้งคู่ชัดเจนกว่าภาคนี้ 

นางเอกคนนี้ก็ชอบ ตั้งแต่นักแสดง เอมม่า สโตนที่หน้าตาน่ารักสุดๆแล้ว บทของเธอยังฉลาด เก่ง พึ่งพาตัวเองได้ เป็นคนมีเหตุผล ไม่งี่เง่าคิดเองเออเอง 
เลยไม่น่ารำคาญเท่าแมรี่ เจนนางเอกในฉบับก่อนหน้า ที่มีชีวิตอยู่เพื่อโดนจับตัวไปและร้องกรี๊ดๆรอคนช่วย  
(แต่ยังไงแมรี่ เจนก็ต้องเป็นสาวของสไปดี้ตามคอมมิกหละนะ เสียดายๆ)

บ่นฉบับก่อนไปตั้งมาก แต่โดยรวมดันจำฉบับก่อนได้มากกว่าฉบับนี้ ตอนเปิดเรื่องมาถึงกับมึน
 เพราะ 2 ฉบับวางเรื่องไม่เหมือนกันเลย ต้องไปดู The Amazing Spider-Man 1 อีกรอบซะแล้วหละ

ภาพฉากแอคชั่น อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรก (และอย่างที่เห็นในตัวอย่างหนัง) ห้อยโหนเหวี่ยงจนหวาดเสียวท้อง รถเอย หินเอย พุ่งเข้าหน้าตลอด 
เหมาะกับ 3D และ 4DX แต่ก็อาจจะมึนหัวมาก สำหรับคนที่ไม่ชิน 

เราไม่ชอบตรงที่สไปเดอร์แมนดูจะมีเวลาว่างมาคุยเล่นกับคนอื่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเยอะเหลือเกิน ตัวร้ายก็ปล่อยให้เค้าพูดอยู่ได้ แปลกๆ 
สไปเดอร์แมนขี้เล่นเกิ๊นการปล่อยให้รถโดนชนวินาศสันตะโร หรือการยิงรัวๆๆคนเจ็บคนตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เห็นสนใจ แต่เลือกมาช่วยชีวิตคนแค่คนเดียวเหมือนกับว่าคนนี้เป็นคนเดียวที่กำลังประสบเหตุก็ตลกมากด้วย 
(แม้จะบอกว่ามันเป็นหนังยอดมนุษย์จะเอาจริงไรมากก็เถอะ แต่ก็ยังตลกอยู่ดี)

ปล. มี End Credit 1 ฉากนะคะ อย่าเพิ่งรีบลุกไปไหน พลาดแล้วจะเสียดาย 
ปล.2 วันที่ 30 เมษายน มีรอบ Sneak  ส่วนวันฉายจริงคือวันที่ 1 พฤษภาคมค่ะ (วันแรงงานซะด้วย โรงคงเต็มแน่นเลย)

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

งานเปิดตัว The Amazing Spider-man2 : Rise of Electron


 Thailand Gala Premiere: The Amazing Spider-man 2 : Rise of Electro @ SF world cinema

Apr 28, 2014 @ CTW

งานนี้จัดที่ชั้นล่างเลยค่ะ พรมแดง เวทีแดง ตกแต่งเต็ม 
แต่ที่อลังการมมาาาาากคือ การโชว์ห้อยหุ่นสไปเดอร์แมนและอิเรคโตรจากบนเพดานค่ะ 


นอกจากนี้ก็มี Mork up ห้องแบบกลับหัวให้เราได้ถ่ายเกาะเพดานกันด้วย อันนี้มีหลายที่
แต่พิเศษคือวันนี้มีสไปเดอร์แมนเป็นพร๊อพ!!


งานเริ่มด้วยการเปิดคลิปสัมภาษณ์นักแสดงโดยคุณวู๊ดดี้ ไล่ไปตั้งแต่ เจมี่ ฟ๊อกซ์ที่มารับบทผู้ร้ายในภาคนี้ , เอมม่า สโตน (Emma Stone) นางเอกทั้งในจอและนอกจอของสไปเดอร์แมน ต่อด้วย Andrew ผู้รับบทสไปเดอร์แมน (พี่แกไหว้เหมือนไหว้เจ้าจริงๆแฮะ)


พิธีกรในงานนี้คือพีเคได้เชิญคุณอาร์ม เจริญศิริ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส รีลิสซิ่งขึ้นมาเล่าเรื่องราวย่อๆของThe Amazing Spider-man ภาคนี้ให้ฟัง (ขอขอบคุณโซนี่ ที่ให้ตั๋วฟรีแก่สมาชิกในวันที่ 29 เมษายนค่ะ ถึงจะเสียใจที่ไม่ใช่รอบแรก แต่ก็ยังดี T_T)


ต่อมาก็เป็นมินิโชว์โดย ซี ศิวัฒน์ และเอมี่ กลิ่นประทุมที่ทั้งหวาดเสียวและหวานจนน่าอิจฉา ^^ และสัมภาษณ์อีกนิดหน่อยค่ะ



ถ่ายรูปร่วมกันตามธรรมเนียม แล้วผู้มีบัตรก็ขึ้นไป  SF world ชั้น7 เพื่อดู The Amazing Spider-man 2 รอบแรกในประเทศไทยก่อนใครๆ 3D ซะด้วย


ส่วนเรากลับบ้านนอนT-T

                                                            (คุณภาพของภาพและคลิปต่ำหน่อยนะคะ ใช้มือถือถ่าย)

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

The Railway man แค้นสะพานข้ามแม่น้ำแคว

สุนทรีย์ อิ่มเอม กดดัน มืดมน The Railway Man หนังที่สร้างจากเรื่องจริงและหนังสือชื่อดัง 

เอริก โลแมกซ์ทหารอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทหารที่เค้าสังกัดพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น เขาและเพื่อนจึงโดนจับไปเป็นเชลยส้รางทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรี ถึงแม้ว่าในภายหลังทางพันธมิตรได้รบชนะญี่ปุ่นและช่วงเหลือเชลยไว้ได้ แต่เขาก็ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากช่วงเวลาอันแสนทรมานในค่ายเชลย ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเค้าจนถึงปัจจุบัน  หญิงผู้นำมาซึ่งความมีชีวิตชีวาครั้งแรกตั้งแต่กลับจากสงคราม จนเมื่อเค้าได้พบกับแพทริเชีย และได้รู้ว่านายทหารญี่ปุ่นที่เคยทรมานเค้านั้นยังมีชีวิตอยู่ แล้วเค้าจะตัดสินใจเช่นไร....จะปล่อยให้เรื่องในอดีตเป็นอดีตอยู่อย่างนั้น จะเผชิญหน้ากับมันเพื่อจบเรื่อง ก้าวข้ามอดีตและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไม่ค้างคา หรือจะตกลงสู่ความมืดของความอาฆาตพยาบาท

หนังเริ่มต้นอย่างสุนทรีย์ด้วนภาพสวยๆ ในบรรยากาศเก่าๆ เพลงประกอบเพราะๆ และบทนำเริ่องการมาพบพานของโลแมกซ์ (รับบทโดยนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ โคลิน เฟิร์ธ (The King's Speech)) และแพทริเชีย (รับบทโดยนิโคล คิดแมน (The Hours)) บนรถไฟ เป็นการจีบกันของคนมีอายุที่ดูแล้วอิ่มจริงๆ ดูแล้วอดยิ้มไม่ได้
หลังจากนั้นหนังค่อยๆนำเราไปสู่ด้านที่มืดมนจากบาดแผลในใจของโลแมกซ์ ซึ่งปรากฏออกมาและอาจทำให้ชีวิตคู่แสนหวานที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นพังทลาย หนังค่อยๆเล่าถึงความโหดร้ายของช่วงสงครามที่โลแมกซ์ต้องเผชิญสลับกับความพยายามของแพทริเชียที่จะเข้าใจละเป็นกำลังใจให้โลแมกซ์ก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้

ฉากในช่วงสงคราม ไม่ได้มีฉากบู๊เพราะจะเจาะไปช่วงที่ทหารอังกฤษโดนจับเป็นเชลยไปเลย และเหมือนหนังพยายามจะเลี่ยงภาพที่รุนแรงโหดร้ายในส่วนอื่นๆของสงครามออกไปเยอะอยู่ โดยเล่าในรูปแบบอื่นแทนแต่ไม่แสดงโดยตรง ความรุนแรงที่เห็นในหนังแทบจะมีเฉพาะส่วนที่โลแมกซ์ต้องเผชิญและส่วนแวดล้อมที่จำเป็นต่อหนังเท่านั้น คงเพราะจุดมุ่งหมายของเรื่องอยู่ที่การปรองดอง การให้อภัย และความสำคัญของการให้กำลังใจให้ความรักกับผู้อื่น เพื่อให้ก้าวผ่านอุปสรรคต่างหาก ผู้สร้างไม่ต้องการตอกย้ำแผลในอดีตของหลายๆคนที่ใช้ชีวิตในช่วงสงคราม ไม่ต้องการจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นมาอีก (แต่แค่นี้ก็มีคนที่ดูเรื่องนี้แล้วบอกว่า เกลียดคนญี่ปุ่นขึ้นมาเลยอยู่ไม่น้อย)

ฉากการเผชิญหน้ากันอดีตของตน หรือก็คือเผชิญหน้ากับนากาเซะ (รับบทโดยฮิโรยูกิ ซานาดะ) นายทหารญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้ทรมานเขา เป็นช่วงที่ทรมานคนดูที่สุด กดดันและลุ้นว่าโลแมกซ์จะทำอย่างไรต่อไป

นักแสดงทุกคน ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้ฉากจบที่เรียบง่ายกลับซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่

เรื่องนี้ถ่ายทำในไทยกว่า 80% ทั้งที่ หัวลำโพง,บางซื่อ, กาญจนบุรี ซึ่งทำให้บรรยากาศดูสมจริงเพราะถ่ายทำในสถานที่จริง (แถมสถานที่ก็เก่าจริงๆไม่ได้เปลี่ยนไปจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย โดยเฉพาะรถไฟควรจะปลื้มดีมั้ยนะเนี่ย ถ้าไทยเปลี่ยนเป็นรถไฟความเร็วสูงไปแล้วเรื่องนี้คงถ่ายทำลำบากน่าดู ทุนคงพุ่งเชียวในการเนรมิตรสถานที่ต่างๆและรถไฟขึ้นมาใหม่ ดูแล้วก็อยากจะบอกนักท่องเที่ยวที่ดูหนังแล้วอยากไปเที่ยวว่า ไม่ต้องรีบก็ได้จ้า อีกหลายสิบปีก็คงยังเป็นแบบนี้ T_T) แอบงงเล็กน้อยว่าเพลงในประเทศไทยไม่ใช่เพลงไทยนะ เป็นเพลงมอญรึเปล่า (??) ถ้าเป็นเพลงมอญก็ยังโอเคสำหรับโลเกชั่นนั้นแหละ แต่ที่งงกว่าคือดอกไม้ไหว้พระของไทยมีไว้เพิ่อไหว้พระแม่คงคาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเขียนบทเข้าใจผิดหรือเราอ่านซับไตเติ้ลผิดเอง (??)

รวมๆ ถึงแม้หนังจะเรื่อยๆ จนทำให้แอบหาวไปครั้งนึงในตอนกลางเรื่อง แต่ก็ทำได้ดีมากเลย ถ้าพลาดจะเสียใจ


Posted via Blogaway

Brick Mansions แอ๊คชั่นมันส์ๆ ขำๆ ไปกับผลงานสุดท้ายของ พอล วอร์คเกอร์

Brick Mansions แอ๊คชั่นมันส์ๆ ขำๆ ไปกับผลงานสุดท้ายของ พอล วอร์คเกอร์
โยนความมีเหตุผลทิ้งไป แล้วสนุกไปกับหนังแอคชั่น บู๊สนั่นเรื่องสุดท้ายที่ถ่ายเสร็จของพอล วอร์คเกอร์ !!! Brick Mansions พันธ์โดด พันธ์เดือด หนังแอคชั่นมันส์ๆที่รีเมคมาจาก District B13  หนังฝรั่งเศสที่ฉายในปี 2006 


เรื่องย่อเดเมี่ยน คอลิเออร์ (Paul walker) ตำรวจสายลับแห่งเมืองดีทรอยด์ ที่ต้องปลอมตัวเข้าไปใน Brick Mansion ชุมชนบ้านเอื้ออาทรที่เสื่อมโทรมและเต็มไปด้วยอาชญากรรมจนต้องเอากำแพงล้อมไว้  โดยเขาต้องร่วมมือกับลิโน่ ผู้ต้องหาซึ่งรู้ลู่ทางใน Brick mansions ทะลุปรุโปร่ง เพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงช่วยแฟนสาวของลิโน่ให้พ้นจากอิทธิพลของกลุ่มพ่อค้ายาเสพติด ซึ่งมีแผนการชั่วร้ายที่อาจนำมหันตภัยมาสู่เมือง
เรท 13+


เนื้อเรื่องง่ายๆ หลวมๆ ไม่สมเหตุสมผล  เดาง่ายแสนง่ายและช่องโหว่มากมาย แต่เราขอมองข้ามเรื่องนั้นไปโลด เพราะคิดไว้แล้วว่าน่าจะเป็นหนังที่เน้นแอคชั่นสุดๆ ผสมมุกขำๆมากกว่า แต่เนื้อเรื่องก็ยังมีข้อคิดนะ การกระทำที่ผิดกฎหมายเลวร้ายบางครั้งก็มาจากเจตนาอันดีและความจำเป็นบีบบังคับ และบางครั้งคนเราก็มุ่งหวังที่จะไปถึงเป้าหมายที่สูงโดยเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไป

หนังดำเนินเรื่องเร็ว ไม่มีจังหวะให้เบื่อ และมีฉากแอคชั่นให้ดูอย่างจุใจ เริ่มตั้งแต่การโชว์ Free running ของดิโน่ โดย David Belle ผู้คิดค้นกีฬานี้และรับบทนี้ในหนังออริจินอล ดูเพลินมาก คล่องตัวสุดยอด เค้าเด่นกว่าพอลซะอีก (แต่พอลหล่อกว่า^^) ฉากไล่ล่าด้วยรถยนต์ ฉากสู้ตัวต่อตัวของหลายต่อหลายคู่ ฉากแทคทีมสู้ หรือฉากที่ขาดไม่ได้อย่างการรัวกระสุนใส่กัน (และตามสไตล์ยิ่งเป็นพันนัดในที่โล่งๆ แต่ไม่โดนตัวเอก 555+)

ตัวละครก็มาแทบจะครบสำหรับหนังแอคชั่นเลย มีบอส มีลูกน้องบอสที่ต๊องๆ ลูกน้องไซส์ยักษ์ตัวถึกของทีมที่ไร้บทพูด สาวโฉดโชว์เซ๊กซี่(มั้ย?) นางเอกสวยๆ 

รู้สึกว่าผู้ชายในชุดสูทของเรื่องนี้ เท่ดีทุกคนเลย บอกไม่ถูก ^^

RZA ในบท Boss Tremaine

Robert Maillet ผู้รับบทยักษ์ใหญ่ในเรื่อง ขำชื่อเล่นในเรื่องมาก ทั้ง Yeti, Titan พี่เค้าตัวใหญ่จริงๆ

มีมุกฮาอยู่ประปรายเหมือนกับในตัวอย่างหนังนั่นแหละ ซึ่งทำให้ดูได้เพลินมาก โดยเฉพาะตอนที่เดเมี่ยนและดิโน่แทคทีมกันแล้ว ทั้งๆที่ต่อสู้เอาชีวิตรอดกันอยู่ แต่ฮากันตลอด

พอลกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของเค้าก็ด้ฉายแววอบอุ่นๆในฉากที่พูดคุยกับปู่ด้วย ดูแล้วก็คิดถึงพอล เสียดายผู้ชายคนนี้ที่เล่นได้ทั้งบู๊ทั้งอบอุ่น ..

RIP Paul Walker.....

รายได้ส่วนหนึ่งจากหนังรวมทั้งจากรอบปฐมทัศน์ บริจาคเข้ามูลนิธิ Paul Walker's charity Reach Out Worldwide (ROWW) ซึ่งเป็นมูลนิธิที่พอลก่อตั้งขึ้นด้วยตัวเขาเอง 

มาร่วมระลึกถึงพอลกันได้ เข้าฉาย 24เม.ย.2557

 Rabbit on the spoon
24.04.14
Major Ratchayothin#13

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

The Nut Job เรื่องของการปล้นและการหักหลัง

The Nut Job เรื่องของการปล้นและการหักหลัง
หนังเข้าฉาย 24 เม.ย.57 เฉพาะ SF
เกริ่นเรื่องไม่เหมาะกับอนิเมชั่นเลยเนอะ ถ้าเขียนสวยๆหน่อยก็เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาความดีในตนเอง ความสามัคคีและการเชื่อใจกัน (นี่มันเรื่องเดียวกันมั้ย 555+) หนังเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัททูน บ๊อกซ์เอนเตอร์เทนเมนต์ซึ่งเป็นบริษัทแอนิเมชั่นในโตรอนโต้ ประเทศแคนนาดากับบริษัทเรดโอเวอร์ของประเทศเกาหลีใต้ ค่ะ สไตล์เลยอาจจะต่างกับเรื่องอื่นๆที่เคยดูไปบ้าง (แต่แก่นเรื่องซ้ำซากแท้ๆ)

เรื่องย่อ
เซอร์ลี กระรอกหนุ่มตัวกวนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวและไม่สามารถเข้ากับกลุ่มได้ ไม่ยอมร่วมมือกับสัตว์อื่นๆในสวนสาธารณะเก็บรวบรวมอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว แถมยังก่อเรื่องวุ่นจนโดนขับออกมาใช้ชีวิตตัวเดียวในเมืองใหญ่ กระรอกที่กำลังสับสนกับชีวิตรูปแบบใหม่ ดันจะไปปล้นถั่วจากโจรปล้นธนาคาร ก็งานเข้าหละสิ


เนื้อเรื่องเบสิคๆ ที่เป็นการจำลองชีวิตจริงของคนที่เข้าพวกไม่ได้ เห็นได้ในหลายๆเรื่องมากๆค่ะ นอกจากนี้ก็มีบทบาทของฮีโร่ ผู้นำ ผู้ช่วย ตามปกติ ภาพอนิเมชั่นสวยใช้ได้เลย เพลงประกอบหลัก 1 เพลงถ้วนคือ กังนัมสไตล์ หนังมีมุกฮาๆเยอะอยู่ (ปริมาณความฮาขึ้นอยู่กับคนดูแต่ละคน คนที่ดูใกล้ๆนี่ถั่วตก หมากระดิกหางก็หัวเราะแล้ว) เป็นมุกแบบ Looney toon นะ (เด็กๆเกิดทันกันมั้ย???) คือ เดี๋ยวๆไดนาไมท์ระเบิด เดี๋ยวๆของตกทับ เดี๋ยวๆรถพุ่งชน ไม่ได้มีมุกที่แยบคายอะไร แล้วก็มีเหตุบังเอิญๆ เยอะแยะไปหมด

นึกถึงเจ้า 2 ตัวนี้เป็นพิเศษ
Road Runner vs Wile E. Koyote
ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมากมันก็ฮาแหละค่ะ แต่สำหรับเราเนื้อเรื่องมันจริงไปหน่อย มืดมนไปหน่อย เซอร์ลี จังหวะพลาดตลอด ทำดีไม่ได้ดี คนอื่นก็ยกย่องแต่ฮีโร่ ตัวเองโดนมองเป็นตัวร้ายตลอด แถมตัวเองก็ผลักไสเพื่อนออกไปตลอดเวลา หักหลังกันไปมาตลอด ความเชื่อใจที่นานๆจะได้รับทีก็หายไปง่ายดายมากๆ ไม่ได้สดใสเต็มที่เหมือนอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ  เลยแอบหักคะแนนไป

เหมือนเค้าจะเล่นคำ คำว่า " NUT " นิดนึง แต่น่าจะเน้นหนักกว่านี้หน่อย นี่เกือบไม่รู้สึก

เจ้าแรคคูน พากย์โดยเลียม นีสัน อีกแล้ว!!
เสียงหล่อมาเลย
ปล. เห็นหนังเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงมุก "มีถั่วมั้ย" ทุกทีเลย ไม่ได้ขำที่โก๊ะตี๋เล่นมุกนี้ แต่ชอบคลิปออริจินอล "มีองุ่นมั้ย" กวนแบบน่าร๊ากกกกก


22.04.14
Rabbit on the spoon
SF Ladprao #8

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

Mari Kushi ร้านอาหารเปิดใหม่ที่ The Sense ปิ่นเกล้า


The Sense ปิ่นเกล้า 

อยู่เลยเซ็นทรัลปิ่นเกล้ามานิดเดียว


เพิ่งจะเปิดเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมาค่ะ ร้านก็เพิ่งเปิดได้ไม่กี่ร้าน

และก็ไม่มีแอร์ค่ะ แต่ไม่ร้อนมาก ทางลมค่อนข้างดี

มีทั้งบันไดธรรมดา บันไดเลื่อน และลิฟท์ให้เลือกใช้กัน


มี 3 ชั้น นี่บันไดวนค่ะ ใครขยันก็เดินเอาโลด
ส่วนมากจะเป็นร้านอาหารค่ะ และหนึ่งในนั้นก็คือ Mari Kuchi ร้านอาหารญี่ปุ่นง่ายๆ ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2

Mari Kushi บนชั้น 2 ของ The Sense

ร้านตกแต่งเรียบๆสบายตา รองรับได้ประมาณ 40 คน
เมนูของร้านนี้ 1 หน้าเท่านั้น ประกอบไปด้วยของทอดเสียบไม้ ข้าวหน้าหมูทอด ข้าวหน้าแกงกะหรี่ ข้าวหมู/ไก่ทอดเป็นชุด สลัด ของหวาน ของกินเล่น และน้ำค่ะ
เราสั่ง ข้าวแกงกะหรี่ไก่ 119 บาท เพิ่มผักโขม 10 บาท รสชาติธรรมดาค่ะ
เซ็ตหมูทอด 149 บาท ประกอบด้วย หมูทอด สลัดมันฝรั่ง ไข่ตุ๋น กะหล่ำปลีซอย(เติมได้) มิโซะซุป ข้าว(เติมได้) น้ำชาเขียวเย็น/ร้อน(เติมได้) งาบด คุ้มมากเชียว
จากซ้าย ซอสหมูทอด น้ำสลัดญี่ปุ่นเปรี้ยวๆ น้ำสลัดงา 
ชาเขียวเย็น/ร้อน แบบ Refill
โปรโมชั่นช่วงเปิดร้าน ฟรีไอศกรีมชาเขียวทุกที่ค่ะ
(แต่รสชาติแปลกๆ)

ก็คุ้มราคาดีค่ะ น่าจะเป็นร้านที่ถูกที่สุดใน The Sense แล้วด้วยนะ ร้านอื่นราคาค่อนข้างสูงเลย

อวดGachapon lotใหม่ ไททันและยุยจัง

มีของสะสมใหม่มาเพิ่มอีกแล้ว Gachapon หรือไข่หมุนนั่นเอง ^^ 

เพื่อนน้องไปญี่ปุ่นค่ะ เลยฝากหมุนมาให้นิดๆหน่อยๆ 
จริงๆในไทยก็มีหมุนหลายที่นะ แต่ราคาสูงกว่า ต่ำๆก็ 100 บาทเข้าไปแล้ว
ก็ยังเป็นราคาที่ซื้อได้นะ แต่การได้มาจากญี่ปุ่นมันรู้สึกออริจินอลกว่า
แม้จะ Made in China เหมือนๆกันก็เถอะ

มาดูกันเลย ว่าได้อะไรมากบ้าง 4 ลูก ขนมน้องแถมมา

ตัวแรกท่านรีไวล์หัวหน้าทีมสำรวจจาก Attack on Titan ในชุดพร้อมรบ 200 เยน

ตัวที่ 2 ท่านรีไวล์ในชุดแม่บ้าน น่าร๊ากกกก^^ 200 เยน

อยากได้ครบเซ็ตเหมือนกันนะเนี่ย

ตัวที่ 3 ยุยจัง จาก K- on อันนี้หมุนมาฝากคุณแฟน 200 เยน

ยุยจังช่างเริงร่า ผิดกับรีไวล์
ตัวที่ 4 ตัวสุดท้ายละ ไททันยักษ์ กำลังพังกำแพง 400 เยน มาเป็นชิ้นๆ 

จับมาถ่ายรูปซะ


Attack on Titan !!!!!



ชื่นชมเสร็จเก็บกลับเข้าไข่

ไม่งั้นแมวเมี๊ยวที่บ้านอาจจะพิฆาตทั้งไททันและรีไวล์ได้ แฮ่~

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

Need for Speed เร็ว แรงส์ มันส์มากเลย

 Need for Speed ซิ่งเต็มสปีดแค้น
เร็ว แรงส์ มันส์มากเลย
หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเกมชื่อเดียวกันคือ Need For Speed ค่ะ เราไม่เคยเล่นหรอก และไม่ได้ชอบรถซิ่งอะไรด้วย เสียงเครื่องยนตร์แบบไหนคือดีไม่ดี ไม่รู้หรอก แต่แฟนอยากดู เพราะงั้นก็ต้องดูชิมิ ไปดูแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยแหละ
เรื่องย่อ
โทบี้ มาร์แชล (แสดงโดยอาร์รอน พอล) ถูกใส่ร้ายในคดีที่เขาไม่ได้ก่อ เมื่อพ้นโทษออกมา เขาก็มาลงแข่งในการแข่งขันรถข้ามประเทศสุดโหดเพื่อจัดการแก้แค้นดิโน่ บริวส์เตอร์ (แสดงโดยโดยโดมินิก คูเปอร์ ) ที่ใส่ร้ายเขา เรื่องราวของการขับรถแข่ง ไล่ล่าสุดมันส์บนท้องถนน ที่เสียงเครื่องยนตร์จะดังกระหึ่มไปทั้งโรง

เรื่องนี้ไปดูหลังจากเข้าโรงไปพักใหญ่ๆแล้ว เลยพอได้อ่านรีวิวมาบ้าง หลายรีวิวก็บอกว่าบทอ่อนดีแต่ซิ่ง แต่พอไปดูจริงๆ บทก็ใช้ได้นะ พูดคุยรับส่งมุกกันเพลินดี ดราม่าไม่ซับซ้อนอะไร ก็ซ้ำๆแบบเดาทางได้หมดทุกจังหวะนั่นแหละ เดาได้แบบ...อ๊ะ นี่น้องแฟนเก่าเหรอ โดนตาคนนี้แย่งแฟนไปเหรอ...งั้นเดี๋ยวเจ้าน้องชายนี่จะต้อง....แน่ๆเลย~   เอ๊ะพระเอกพูดงี้...ชั้นไม่เชื่อหรอก เดี๋ยวพระเอกจะต้อง...แน่ๆเลย แบบเป๊ะๆ ^^  แต่ว่าสำหรับหนังที่มาดูซิ่งเอามันส์ ดราม่ามาระดับนี้ก็ดีนะ ไม่ต้องให้เราไปเสียเวลากับอย่างอื่นให้มากมาย ดูการขับรถอย่างเดียวพอ

ตัวละครเพื่อนๆพระเอกก็มีคาแรคเตอร์ชวนดู โดยเฉพาะคนขับเครื่องบิน แหม๊ขยันแย่งซีนจริงๆ  หรือจะเป็นไมเคิล คีตันที่รับบนเป็นเดอะ โมนาร์ค ผู้จัดการแข่งขันและเป็นดีเจในตัว ก็มีสไตล์การพูดที่เพลินชวนฟังดี แต่ที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นนางเอก "Julia" ที่รับบทโดย Imogan Poots สำเนียงพูดสะดุดหู ตาวาวๆ แล้วบทบาทที่มีพัฒนาการในเรื่องให้เห็นเด่นชัด จนถ้าไม่ตกหลุมรักก็ไม่รูจะว่ายังไง

ตัวแย่งซีนที่ทำเรื่องนอกเหนือเหตุผลตลอดๆ
"Julia" ที่รับบทโดย Imogan Poots

ที่สำคัญที่สุดในเรื่องก็หนีไม่พ้น ฉากการซิ่งรถสุดหรู ที่ถ่ายทำได้ถึงใจจริงๆ ไม่มี CG เก๋ๆมาให้รำคาญใจ มีหลายมุมมอง ที่เด่นที่สุดก็มุมคนขับเลย ได้อารมณ์มากๆ แล้วขับกันได้หวาดเสียวดีจริงๆ ถ้าดูเป็น 4DX แล้วซิ่งกันขนาดนี้คงต้องขอเข็มขัดนิรภัยนะ

ส่วนที่ไม่ชอบคงจะเป็นตอนต้นเรื่องเลย เปิดฉากมาพูดรัวๆ แนะนำคนนั้นคนนี้ ตามไม่ทันเลยว่าใครพูดถึงใครว่ายังไงบ้าง (ยังง่วงๆจากการดูโฆษณาอันยาวเหยียด สมองยังไม่รับรู้อะไรเลย) ส่วนเรื่องความไม่สมจริง ขอปล่อยผ่านไปเพราะความมันส์ของหนัง และเพราะเค้าสร้างมาจากเกม

สรุปว่า ไปดูเลยคุ้ม มันส์ แค่ดูรถหรูๆสวยๆก็คุ้มแล้วหละ

Major Ratchayothin
Rabbit on the spoon 
19.04.14

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

Transcendence ประเด็นดี แต่นำเสนอน่าเบื่อ

Transcendence ประเด็นดี แต่นำเสนอน่าเบื่อ
เข้าฉาย 17.04.14
นำแสดง

  • จอห์นนี่ เดปป์(Edward Scissorhands, Pirates of the Caribbean)
  • มอร์แกน ฟรีแมน (The Shawshank Redemption, The Dark Knight)
  • รีเบคก้า ฮอล (The Prestige, Iron Man 3)
  • พอล เบททานีย์(The Avengers, Iron Man)

เรื่องย่อ
ดอกเตอร์ วิล แคสเตอร์ (จอห์นนี เดปป์) และ เอวาลีน แคสเตอร์ (รีเบคก้า ฮอล) นักวิทยาศาตร์ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence พวกเขามีเป้าหมายในการสร้างเครื่องจักรที่มีความฉลาด ข้อมูลทั้งหมดในโลกนี้ และความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรงที่ต่อต้านเทคโนโลยี หรือ ‘ริฟท์’ (RIFT) ซึ่งเชื่อว่าการค้นคว้านี้เป็นสิ่งที่ล่วงล้ำเส้นกั้นของอำนาจมนุษย์ที่พึงจะกระทำ กลุ่มริฟท์จึงพยายามยุตินักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้า โดยใช้วิธีการที่รุนแรง จนเป็นสาเหตุให้วิลต้องตาย แต่ก่อนตายวิลได้พยายามเชื่อมสมองของเค้าไว้ในคอมพิวเตอร์ ก่อกำเนิดเป็น “คอมพิวเตอร์สมองคน” ที่อัจฉริยะที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป มันเป็นสืิ่งที่ควรทำหรือไม่ เป็นคำถามที่ต้องร่วมกันหาคำตอบในหนังเรื่องนี้

เนื้อเรื่องฟังดูดีมาก ตัวอย่างก็ดูดี ชื่อนักแสดงดูน่าดึงดูดที่สุด ทั้งจอห์นนี่ เดปป์ทั้งมอร์แกน ฟรีแมน ไหนจะชื่อผู้อำนวยการสร้างอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลนอีก แม้วอลลี่ ฟิสเตอร์ ผู้กำกับจะเป็นมือใหม่ในการกำกับ แต่ก็เป็นช่างภาพคู่ใจของคริสโตเฟอร์ โนแลน ทำให้เราคาดหวังจากหนังเรื่องนี้ไว้มากเลย ถึงตัวอย่างจะแทบเฉลยทั้งหมดของเรื่องไปแล้ว แต่เราก็หวังว่าในเรื่องเค้าจะเค้นอารมณ์ดราม่า ความมืดมนของวิลที่เปลี่ยนแปลงไปจากตัวตนในร่างมนุษย์ ความรักของเอวาลีนกับวิล ที่พอถึงที่สุดต่อให้รักเพียงใด เธอก็ต้องตัดใจและจบเรื่องราวเหล่านี้ หรือว่าจะไปเน้นย้ำเรื่องเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเกินไป 

แต่พอดูเอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงความรักของทั้ง 2 คนเท่าไหร่เลย ไม่ทันได้อิน หนังเน้นแนวคิดทางศาสนามากกว่า ว่ามนุษย์ควรหรือไม่ควรที่จะมีพัฒนาวิทยาศาสตร์ขึ้นมาทัดเทียมอำนาจของผู้สร้าง(พระเจ้า) แต่ก็ไม่ตัดสินไปซะทีเดียว ระหว่างเรื่องเหมือนจะสอนเรื่องนี้ว่าไม่ควร แต่ก็จบแบบเหมือนโอเคกับการพัฒนาบางอย่างซะอย่างนั้น



หนังสปอยตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะเล่าฉากเกือบจบมาก่อนเลย แล้วค่อยย้อนเวลากลับไป ณ ตอนที่เกิดเหตุ ทำให้ไม่มีลุ้นอะไรเลย เรารู้จุดจบแล้วเหลือแค่ดูว่า เรื่องจะดำเนินไปอย่างไร ถึงไปถึงจุดนั้นได้ แต่การเดินเรื่องกลับเรียบเรื่อย จนน่าเบื่อ มีฉากให้ได้ตื่นเต้นแค่ฉากเดียวเท่านั้นเอง ขนาดตอนไล่ล่ากันก็ไม่ได้มีความมันส์อะไร ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีฉากแอคชั่นอยู่แล้ว แต่นี่ดราม่าก็ไม่ถึง เลยไม่รู้จะชอบอะไรดี

หนังไม่ได้เน้นหรือให้เวลาจุดหลักๆที่ควรจะเน้น แนวคิดที่ตัวละครแต่ละคนพูดบนเวทีนั่นสำคัญมาก แต่ก็ดูลอยๆ จนเราไม่ได้ตั้งใจดู คิดไม่ทันไปซะอย่างนั้น (อ่านไม่ทันด้วยแหละ) พระนางรักกันแค่ไหนเราก็ไม่เห็น (ไม่นับบทพูดเลี่ยนประหลาดบนเวทีนะ ยัดเยียดไปนะ เหมือนกลัวไม่รู้ว่ารักกัน)  ยกเว้นตอนเอวาลีนพยายามหาทางจะเอาวิลเข้าไปเก็บในคอมพิวเตอร์เพื่อรักษาวิลไว้กับตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ใช่นางจะพยายามอยู่คนเดียว แม็กซ์เพื่อนของทั้งคู่ก็ช่วยด้วยความทุ่มเทเท่าๆกัน เลยไม่รู้สึกว่านางทุ่มเทด้วยความรักที่มากกว่าใคร แถมยังรู้สึกว่านางทำเพื่อความทะเยอทะยานทางวิทยาศาสตร์ของตัวเองอีกต่างหาก (ไม่งั้นจะต้องขยยายอาณาเขตของวิลขนาดนี้ทำไมกัน มันเกินกว่าการจะเก็บความเป็นวิลไว้กับตัวเองไปมากแล้ว)

รีเบคก้า ฮอล รับบทเอวาลีน ภรรยาของวิล
พอล เบททานีย์ รับบท แม็กซ์ วอเตอร์ส เพื่อนสนิทของวิลและเอวาลีน
เล่นรอดที่สุดในเรื่องละ
นักแสดง เอาชื่อมาขายซะเยอะ หลายคนโผล่มาบทนิดเดียว บทพูดก็น้อยนิดนับคำได้ เหมือนมาโผล่ให้กล้องได้ถ่ายเท่านั้นเอง ทั้ง มอแกน ฟรีแมน คิลเลียน เมอร์ฟีย์ ส่วนจอห์นนี่ เดปป์แม้จะโผล่มาทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ได้โชว์ความสามารถอะไร หน้าเดิมๆนิ่งๆ ตลอดเวลา คนที่รับบทหนักที่สุดคือ รีเบคก้า ฮอล นางเอกของเรื่อง ซึ่งก็เล่นหน้าเดียวตลอดเรื่อง ยกเว้นว่าอยู่ดีๆนางก็จะเหวี่ยงซะอย่างนั้น อย่างกับเนื้อหาบางส่วนหายไปงั้นน่ะ เรื่องใหญ่กว่านั้นเกิดไปแล้วนางนิ่ง ตอนไม่มีเรื่องอะไรนางเหวี่ยง -__-"

มอร์แกน ฟรีแมน บทน้อยจังลุง
ช่องโหว่ของหนังก็เยอะ ตั้งแต่วิลโดนยิงท้อง ฉากต่อมาเดินได้เลย..คือไม่ได้เฉียดนะนั่น โดนยิงจุกพุงเลย แล้วด้วยความสามารถขั้นเทพของคอมพิวเตอร์สมองคน ที่ดึงข้อมูลมาโชว์ได้เยอะแยะ พอวันดีคืนดี ก็ทำเหมือนดึงภาพดาวเทียมไม่ได้ ต้องมารอใช้.....[เซนเซอร์ตัวเองจากสปอย].....เพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยซะอย่างนั้น

ส่วนเรื่องความล้ำของแนวคิดเรื่องการอัพโหลดข้อมูลในสมองลงคอมฯ ไม่ล้ำแล้วหละ จริงๆหนังเรื่องอื่นเยอะแยะ เอาใกล้ๆตัวเลยนะ Captain America2 เพิ่งมีแนวคิดนี้กันแหมบๆ จบกัน...

เป็นอันว่า น่าเบื่อและแสดงไม่โดดเด่น อาศัยชื่อเสียงเก่ามาหากินกัน ....แต่ก็มีคนชอบอยู่เยอะมั้งนะ ...ใครแฟนป๋าเดป ลุงมอร์แกน ลุงโนแลน ก็เรียนเชิญไปดูกันได้ เข้าโรง 17 เมษายน 2557