สุนทรีย์ อิ่มเอม กดดัน มืดมน The Railway Man หนังที่สร้างจากเรื่องจริงและหนังสือชื่อดัง
เอริก โลแมกซ์ทหารอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทหารที่เค้าสังกัดพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น เขาและเพื่อนจึงโดนจับไปเป็นเชลยส้รางทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรี ถึงแม้ว่าในภายหลังทางพันธมิตรได้รบชนะญี่ปุ่นและช่วงเหลือเชลยไว้ได้ แต่เขาก็ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากช่วงเวลาอันแสนทรมานในค่ายเชลย ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเค้าจนถึงปัจจุบัน หญิงผู้นำมาซึ่งความมีชีวิตชีวาครั้งแรกตั้งแต่กลับจากสงคราม จนเมื่อเค้าได้พบกับแพทริเชีย และได้รู้ว่านายทหารญี่ปุ่นที่เคยทรมานเค้านั้นยังมีชีวิตอยู่ แล้วเค้าจะตัดสินใจเช่นไร....จะปล่อยให้เรื่องในอดีตเป็นอดีตอยู่อย่างนั้น จะเผชิญหน้ากับมันเพื่อจบเรื่อง ก้าวข้ามอดีตและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไม่ค้างคา หรือจะตกลงสู่ความมืดของความอาฆาตพยาบาท
หนังเริ่มต้นอย่างสุนทรีย์ด้วนภาพสวยๆ ในบรรยากาศเก่าๆ เพลงประกอบเพราะๆ และบทนำเริ่องการมาพบพานของโลแมกซ์ (รับบทโดยนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ โคลิน เฟิร์ธ (The King's Speech)) และแพทริเชีย (รับบทโดยนิโคล คิดแมน (The Hours)) บนรถไฟ เป็นการจีบกันของคนมีอายุที่ดูแล้วอิ่มจริงๆ ดูแล้วอดยิ้มไม่ได้
หลังจากนั้นหนังค่อยๆนำเราไปสู่ด้านที่มืดมนจากบาดแผลในใจของโลแมกซ์ ซึ่งปรากฏออกมาและอาจทำให้ชีวิตคู่แสนหวานที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นพังทลาย หนังค่อยๆเล่าถึงความโหดร้ายของช่วงสงครามที่โลแมกซ์ต้องเผชิญสลับกับความพยายามของแพทริเชียที่จะเข้าใจละเป็นกำลังใจให้โลแมกซ์ก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้
ฉากในช่วงสงคราม ไม่ได้มีฉากบู๊เพราะจะเจาะไปช่วงที่ทหารอังกฤษโดนจับเป็นเชลยไปเลย และเหมือนหนังพยายามจะเลี่ยงภาพที่รุนแรงโหดร้ายในส่วนอื่นๆของสงครามออกไปเยอะอยู่ โดยเล่าในรูปแบบอื่นแทนแต่ไม่แสดงโดยตรง ความรุนแรงที่เห็นในหนังแทบจะมีเฉพาะส่วนที่โลแมกซ์ต้องเผชิญและส่วนแวดล้อมที่จำเป็นต่อหนังเท่านั้น คงเพราะจุดมุ่งหมายของเรื่องอยู่ที่การปรองดอง การให้อภัย และความสำคัญของการให้กำลังใจให้ความรักกับผู้อื่น เพื่อให้ก้าวผ่านอุปสรรคต่างหาก ผู้สร้างไม่ต้องการตอกย้ำแผลในอดีตของหลายๆคนที่ใช้ชีวิตในช่วงสงคราม ไม่ต้องการจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นมาอีก (แต่แค่นี้ก็มีคนที่ดูเรื่องนี้แล้วบอกว่า เกลียดคนญี่ปุ่นขึ้นมาเลยอยู่ไม่น้อย)
ฉากการเผชิญหน้ากันอดีตของตน หรือก็คือเผชิญหน้ากับนากาเซะ (รับบทโดยฮิโรยูกิ ซานาดะ) นายทหารญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้ทรมานเขา เป็นช่วงที่ทรมานคนดูที่สุด กดดันและลุ้นว่าโลแมกซ์จะทำอย่างไรต่อไป
นักแสดงทุกคน ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้ฉากจบที่เรียบง่ายกลับซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
เรื่องนี้ถ่ายทำในไทยกว่า 80% ทั้งที่ หัวลำโพง,บางซื่อ, กาญจนบุรี ซึ่งทำให้บรรยากาศดูสมจริงเพราะถ่ายทำในสถานที่จริง (แถมสถานที่ก็เก่าจริงๆไม่ได้เปลี่ยนไปจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย โดยเฉพาะรถไฟควรจะปลื้มดีมั้ยนะเนี่ย ถ้าไทยเปลี่ยนเป็นรถไฟความเร็วสูงไปแล้วเรื่องนี้คงถ่ายทำลำบากน่าดู ทุนคงพุ่งเชียวในการเนรมิตรสถานที่ต่างๆและรถไฟขึ้นมาใหม่ ดูแล้วก็อยากจะบอกนักท่องเที่ยวที่ดูหนังแล้วอยากไปเที่ยวว่า ไม่ต้องรีบก็ได้จ้า อีกหลายสิบปีก็คงยังเป็นแบบนี้ T_T) แอบงงเล็กน้อยว่าเพลงในประเทศไทยไม่ใช่เพลงไทยนะ เป็นเพลงมอญรึเปล่า (??) ถ้าเป็นเพลงมอญก็ยังโอเคสำหรับโลเกชั่นนั้นแหละ แต่ที่งงกว่าคือดอกไม้ไหว้พระของไทยมีไว้เพิ่อไหว้พระแม่คงคาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเขียนบทเข้าใจผิดหรือเราอ่านซับไตเติ้ลผิดเอง (??)
รวมๆ ถึงแม้หนังจะเรื่อยๆ จนทำให้แอบหาวไปครั้งนึงในตอนกลางเรื่อง แต่ก็ทำได้ดีมากเลย ถ้าพลาดจะเสียใจ
Posted via Blogaway
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น