วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

The Dawn Of The Planet Of The Apes หนังภาคต่อที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว


The Dawn Of The Planet Of The Apes (รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร) 
หนังดราม่าที่ตัวหลักเป็นลิง ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่ได้ต่างกับมนุษย์
กดดันตลอดเรื่อง กราฟฟิคเนียน 3D แนวลึก (จำนวนทีมงานเยอะมาก)
ไม่มี End credit

เรื่องราวภาคสองของฝูงวานรนำโดยซีซ่าร์ วานรที่ได้รับการทดลองและเลี้ยงดูจนฉลาดและปลดปล่อยวานรทั้งหลายให้เป็นอิสระในภาคแรก Rise of the Planet of the Apes เหตุการณ์ในภาค2นี้เกิดขึ้นหลังจากภาคแรก10ปี มนุษย์ติดเชื้อจากวานรจนล้มหายตายจากไปจากโลกนี้จนแทบสูญพันธ์ ส่วนวานรกลับมีวิวัฒนาการ ตั้งถิ่นฐานเพิ่มจำนวนขึ้นมา ภาคนี้จึงเป็นทั้งจุดเชื่อมต่อจากภาคแรกที่ได้รับอิสระมาและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้โลกกลายเป็นที่อยู่ของวานรแทนมนุษย์




หากใครอยากรู้เรื่องราวในช่วงเวลา 10 ปีนั้นเพิ่งเติมเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญและทำไมมนุษย์ถึงเกลียวกลัวลิงนัก สามารถดูได้ทางคลิปที่ทเวนตี้ เซ็นทูรี ฟ็อกซ์ ร่วมกับ ไวซ์ มีเดียทำไว้และเผยแพร่ทางยูทูปค่ะ โดยหนังสั้น 3 เรื่องมีชื่อชุดว่า Before the Dawn และแยกกันเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไปทั้งด้านเวลาและตัวละคร (หรือจะไม่ดูก็สามารถด๔ภาค 2 นี้เข้าใจได้ แต่ในหนังเล่าเร็วจนได้อารมณ์เหมือนโดนซอมบี้บุกมากกว่า)

ตอนแรกมีชื่อว่า Spread of Simian Flu: Before the Dawn of the Apes (Year 1)เล่าเหตุการณ์หนึ่งปีแรกหลังจากการแพร่ของไวรัสซีเมี่ยน ผ่านครอบครัวหนึ่งที่แม่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัส เธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องกักกันโรค แยกจากสามีและลูกสาวโดยมีกระจกกั้นกลาง

ตอนที่สองชื่อ Struggling to Survive: Before the Dawn of the Apes (Year 5) เล่าถึงปีที่ห้าที่มนุษย์ตายเกือบหมดแล้ว เด็กวัยรุ่นกำพร้าคนหนึ่งต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการขโมยของจากบ้านของคนตาย เพื่อเอาไปแลกเปลี่ยน

และตอนสุดท้าย Story of the Gun: Before the Dawn of the Apes (Year 10) เล่าเรื่องการเดินทางของปืนลูกซองที่ผ่านมือมนุษย์โชคร้ายหลายต่อหลายคน ขณะที่ไวรัสกำลังระบาดไปทั่วโลก

ดูมาแล้วเป็นยังไง......หนังหนักไปทางดราม่ามากกว่าแอคชั่นนะ แอคชั่นก็ทำได้ดีตื่นเต้นเร้าใจ แต่ใช้เวลาไปในส่วนดราม่ามากกว่า  เนื้อหาค่อนข้างเข้มข้น แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม ความเป็นผู้นำ ความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก ของทั้งมนุษย์และวานร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็แทบจะไม่แตกต่างกัน และจุดแตกหักที่ทำให้ทั้ง 2 เผ่าพันธ์ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หนังให้ข้อคิดที่ดีทีเดียว ถึงแม้จะต้องทนรำคาญบลูอายลูกชายของซีซ่าร์อยู่บ้างก็ตาม


ตัวอย่าง motion capture ภาพจาก Mthai

การแสดงของทางฝั่งลิง แสดงดีโดดเด่นกว่าทางมนุษย์ ยิ่งได้เทคนิคโมชั่นแคปเจอร์มาช่วย ยิ่งทำให้สีหน้าท่าทางดูสมจริง แววตาสื่ออารมณ์ได้สุดๆ ภาษาที่ใช้ก็ใช้ทั้งภาษามือ ภาษาลิง ภาษามนุษย์ ผสมๆกันไป บางครั้งก็งงว่าอยู่ในฝูงลิงจะพูดเป็นภาษามนุษย์ทำไม แต่เรื่องภาษานี่ก็เป็นการบ่งชี้ในเรื่องการยอมรับในนตัวของอีกคนนึงในฉากๆหนึ่งด้วย

ชอบภาษาท่าทางที่ยื่นมือให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นการแสดงถึง การยอมรับและการให้อภัยด้วย หนังใช้บ่อยๆในหลายๆรูปแบบ ซึ่งเพียงแค่เห็นท่าทางเราก็เข้าใจได้ถึงรูปแบบความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย

ภาพ CG เนียนตา ไม่ดูหลอก 3Dก็เป็นธรรมชาติแนวลึกไม่ขัดตา ที่เด่นอีกอย่างคือการใช้ภาพมุมกว้างในบางฉาก

รวมๆแล้วก็ดูสนุกได้ข้อคิด กดดันแทบจะตลอดเวลาไม่น่าเบื่อ (แต่ก็มีคนที่ดูแล้วบอกว่าเบื่อตั้งแต่แรกเหมือนกันนะคะ 1 ใน 100 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น